สารคดี สินค้าญี่ปุ่น(จอมซน)

สินค้าญี่ปุ่น  (จอมซน)

ส. คุปตาภา

วันนี้ก็อีกเหมือนกันที่น้องๆก็เหลือเกิน  อาจจะเป็นตัววัฒนาก็ได้ที่เอาชามกระเบื้องที่ป้าเหลือห่วงหนักหวงหนาไม่ให้เราเอามาใช้บ่อยๆ เพราะกลัวจะขาดชุด  และก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใด  หลานคนใดคนหนึ่งของป้าเหลือก็ชอบเอามันออกมาเสียจริงๆเมื่อเอาออกมาใช้ก็ไม่วายที่จะไม่เก็บเข้าที่เข้าทางอย่างที่มันเคยอยู่  ก็เลยเป็นเหตุให้ฉัน-รุ่งทิวา-ลูกสาวใหญ่วัยรุ่นของพ่อหมอ ฉายาจากป้าเหลือว่า “แม้ม้าดีดกะโหลก”ก็ดีดเอาชามชุดงามของป้าเหลือลงไปจากบันไดชั้นบนกระจายออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยอย่างชนิดที่ประสานกันไม่ติดเลยทีเดียวฉันไม่อยากจะโทษตนเองเพราะเจ้าขาเก้งก้างนั้นมันไม่มีตามอง อย่างดีก็มีเพียงตาตุ่มเท่านั้น……

“มีเรื่องอีกแล้ว แม่รุ่งทิวา”ป้าเหลือแหวมาทันที “ป้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เอาชามชุดนี้ออกมาใช้ รู้ไหมมันมาจากญี่ปุ่นเทียวนะ เป็นของขวัญมาตั้งแต่ครั้งแม่ของพวกเธอนั่นแหละแต่งงานกับพ่อ สิบกว่าปีมาแล้ว ถ้ามันขาดชุดไปก็หาอีกไม่ได้ กระเบื้องก็ดี ลายก็สวย…..”ป้าเหลือบ่นต่อไปอีกยืดยาว

พอพูดถึงว่าเป็นชามญี่ปุ่นฉันก็เกิดฉุนกึกขึ้นมาทันที    ที่จริงมันคงจะไม่ใช่เพราะคำว่าญี่ปุ่น  แต่มันเป็นเพราะว่า ฉันเป็นคนดีดมันลงไปแตกกระจายอยู่เชิงบันไดนั่นมากกว่า

“ช่างมันเถอะป้า ของญี่ปุ่น เขากำลังรณรงค์กันไม่ใช้สินค้าญี่ปุ่นอยู่นี่คะ ขืนมีไว้ที่บ้านใครๆเขาจะหาว่าเรานิยมของญี่ปุ่น”ฉันเถียง

“อย่ามาพูดบ้าๆหน่อยเลย สองสามวันมานี่ดูรู้อะไรดีๆมานะ”

แล้วป้าเหลือก็บ่นกระปอดประแปดต่อไป  ที่จริง  ถ้าหากชามใบนั้นไม่อยู่ในชุดของขวัญแต่งงานของพ่อหมอ  และแม่แล้วฉันจะไม่เสียดายเลย  นึกไปถึงว่าหากพ่อหมอรู้คงจะเสียดายมาก  เพราะอย่างน้อยๆก็เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงแม่ที่ตายจากไปแล้ว  แต่พ่อหมอคงจะคิดเสียดายอย่างเดียว  คงจะไม่บ่นว่าฉันและน้องเหมือนป้าเหลือ

ที่จริงฉันคิดว่าหากพ่อกลับมาก็จะเล่าให้พ่อฟัง   สารภาพเสียก่อนที่พ่อจะไปรู้จากคนอื่น  แต่ก็ลืมไป  ปล่อยให้ป้าเหลือฟ้องพ่อเสียก่อนจนได้  ว่า

“นี่แน่ะหมอ ชุดแต่งงานของหมอน่ะขาดไปหนึ่งละนะ”

“อ้าทำไมล่ะพี่”พ่อหมอถาม

“ก็ลูกสาวคนใหญ่คนดีของหมอน่ะซิ ดีดเอาลงไปโคโรอยู่ข้างล่าง”ป้าเหลือตอบ

“หนูไม่เห็นค่ะพ่อ ไม่รู้ว่าใครเอามันมาวางไว้ที่ขั้นบันได”ฉันสารภาพ เสียงอ่อย อาจจะเป็นตาวัฒนาหรือดารารัตน์เองก็ไม่รู้ได้ ดารารัตน์จึงช่วยฉันพูดว่า “ป้าเหลือบอกว่ามันเป็นของญี่ปุ่น เห็นพี่เขาบอกว่าเราจะไม่ใช้ของญี่ปุ่นแล้ว นะพ่อ”

พ่อหมอถอนใจ “มีเหตุผลอะไรกันล่ะ”

“เราขาดดุลการค้าค่ะพ่อ”ฉันรีบตอบ “เราสั่งของเขามาใช้มากกว่าที่เราขายของให้เขาค่ะ”

“อืม”พ่อหมอคราง “ถ้าหากมันมีอยู่แล้ว เราไม่ต้องซื้อใหม่ ไม่ดีกว่าเราทำมันแตกแล้วต้องไปซื้อมาอีกหรือ”

“เราต้องไม่ซื้อของญี่ปุ่นใช่ไหมคะ”ดารารัตน์ถาม “เราต้องเกลียดญี่ปุ่นใช่ไหมคะ”

“เอาละ ถึงเราไม่ซื้อของญี่ปุ่น ของใครเราก็ไม่ควรซื้อ”พ่อคงจะลืมเรื่องชามชุดสำคัญของพ่อแตกไปเสียแล้ว จึงพูดต่อไปว่า “เราเห็นจะต้องมาพูดกันเรื่องญี่ปุ่นเสียหน่อย”

ฉันรีบนั่งลงข้างพ่อ  ดารารัตน์นั่งลงอีกข้างหนึ่ง  ตาวัฒนาและน้องสาวคนสุดท้องของเรา  ก็รีบมานั่งรอบโต๊ะอาหารด้วย  ทั้งที่ไม่ได้สนใจเรื่องญี่ปุ่นสักนิด  คงจะสนใจว่าท้องกำลังจะร้องหิวกันแล้วมากกว่า

“พ่ออยากจะถามว่าเราจะต้องเกลียดญี่ปุ่นด้วยหรือ เรามองเขาอย่างไรจึงจะไปหาว่าเขาเอารัดเอาเปรียบเรา  เรามองเขาอย่างเดียว  แต่เราไม่มองตัวเรา….ฟังพ่อ  รุ่งทิวา  ดารารัตน์  เมื่อสองร้อยปีที่แล้วญี่ปุ่นยังเป็นเมืองปิด  ยังไม่มีอะไรเลย  แม้แต่จะเท่าเทียมเราก็ยังไม่ได้  เพิ่งจะรู้จักเครื่องยนต์กลไกกับเขาบ้างก็เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง  จากนั้นญี่ปุ่นก็ต้องทำสงครามไซบีเรีย  ต่อมาก็สงครามโลกครั้งที่สอง  อยู่ในความยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรนานถึงเจ็ดปี  ในขณะที่เรามีอิสระภาพ  มีความเจริญกว่าญี่ปุ่น….เมื่อร้อยปีมานี้เองที่ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศกสิกรรม  มีอุตสาหกรรมพื้นบ้านเล็กๆเท่านั้น  แล้วก็ค่อยๆพัฒนาขึ้นเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็ก  แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง  ญี่ปุ่นก็ถูกทำลายอุสาหกรรมดังกล่าวไปหมดสิ้น  เมื่อร้อยปีนั้น  อยู่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช  รัชกาลที่ห้า  เรามีความเจริญแค่ไหนเรามีรถไฟใช้  เรามีโรงเรียน  เรามีการส่งคนไปศึกษาต่างประเทศ  เราเก่งกว่าเขา  เราเจริญกว่าเขา”

พ่อหมอวาดสายตาดูฉัน  แล้วพูดต่อไปว่า  “แต่ก่อนญี่ปุ่นก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร เทคโนโลยี  เครื่องไม่เครื่องมืออะไรก็สั่งมาจากต่างประเทศ  แล้วก็เอามาดัดแปลงออกแบบโดยเอาของพื้นบ้านของตนเข้าไปผสมผสานใช้ในบ้านในเมืองญี่ปุ่นเองด้วยราคาถูก  ค่อยๆปรับปรุงแล้วจึงนำออกส่งไปขายต่างประเทศแต่ก่อนสมัยพ่อยังเป็นเด็ก  เราก็ว่าสินค้าญี่ปุ่นขาดคุณภาพ  แต่บัดนี้เราจะต้องมองเขา  เราต้องมาใช้ของๆเขา  เพราะอะไร  ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น……สินค้ารอบตัวเรามาจากญี่ปุ่น  ทำไมล่ะ  เขาถีบตัวสูงขึ้งมาจนเลยหน้าเราไปไกลแสนไกล  เพราะอะไร”

“เพราะอะไรเล่าคะ”ดารารัตน์ถาม

“นั่นสิ เพราะอะไร ทำไมนะเมื่อเราไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ บัดนี้ทำไมเขาจึงก้าวไกลไปอย่างนั้น ค่านิยมของเขามีอยู่เจ็ดประการด้วยกันคือ ทุกคนจะต้องซื่อสัตย์ต่องาน ทุกคนจะต้องประสานกันเพื่อความเจริญของงาน ยกย่องกัน ถ่อมตนเอง พยายามปรับตนเอง    มีกตัญญูและมีกตเวทีเป็นที่สุด”พ่อถอนใจ

“กตัญญู กตเวที”ดารารัตน์ทำเสียงลากเหมือนไม่ค่อยจะเข้าใจ “อะไรนะคะพ่อ”

“กตัญญู  ก็คือรู้คุณ  กตเวที  ก็คือตอบแทนคุณไงล่ะ”พ่อหมอตอบ  “นั่นแหละที่เขามี  อย่าลืมว่าเจ็ดข้อด้วยกัน  แต่เรา….ขาดความซื่อสัตย์มีข่าวอยู่บ่อยๆว่า  ในการค้ากับต่างประเทศ  เมื่อเริ่มค้ากันใหม่ๆ  สินค้าของเราที่ส่งออกไปก็รักษาคุณภาพตามที่ตกลงกันไว้  แต่ไม่ช้าก็ปลอมปนโกงเขา  คนงานของเรามักง่ายไม่รับผิดชอบ  ไม่คิดว่างานที่ทำนั้นเป็นของตน  ไม่รู้สึกว่าความเจริญของงานคือความเจริญของตน  ของชาติ  เราขาดความซื่อสัตย์  คือความซื่อสัตย์ต่อตนเอง  ที่จะต้องรับผิดชอบต่อตนเอง  ต่องาน  ต่อหน้าที่  ต่อประเทศชาติ  เราขาดความกลมเกลียวประสานงานกัน  เราขาดความยกย่องกันและกัน  เราไม่เคยยอมรับนับถือความคิดของกันและกัน  เราไม่เคยนึกถ่อมตน  เรานึกว่าเราเก่ง  เวลาทำงานร่วมกับใคร  เราก็ปรับตัวเราเองให้เข้ากับเขาไม่ได้”

ฉันย่นจมูก เบ้หน้า  ไม่เห็นว่ามันจะเข้าอะไรกับการที่ฉันเกลียดญี่ปุ่นเหมือนหลายคนกำลังคิดว่าจะไม่ใช่สินค้าญี่ปุ่น

พ่อหมอฉันมามองหน้าฉันแล้วถามว่า “แล้วอย่านี้เราจะไปเกลียดเขาโกรธเขาได้หรือ ในเมื่อเราไม่มองดูตัวเราเอง  แล้วปรับตัวของเราให้เป็นคู่แข่งกับเขา  ในสมัยย่าปู่ของลูกๆ เรายังเหนือญี่ปุ่น  แล้วเราก็ค่อยๆล้าหลังเขามาอยู่เรื่อยๆ  มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปตั้งหน้าตั้งตาเกลียดเขา  โกรธเขา  ยกเขาสิเป็นตัวอย่าง  แล้วเราก็สร้างตัวของเราเอง  แข่งกับเขา  ให้เราเหนือเขา เหมือนครั้งหนึ่งเราเคยเหนือเขา  สินค้ารึ  เราไปซื้อเขามาเอง  ไม่จำเป็นก็ซื้อใช้ทิ้งใช้ขว้าง…..เราไปนิยมของเขาเอง  ทั้งที่ของเราก็มี  อาจจะราคาถูกกว่าของเขา  เหมาะสมกับตัวของเรา  บ้านของเรามากกว่าเสียอีก”

พ่อหมอคงจะตำหนิฉันในใจแต่ไม่พูด  ในเมื่อของชิ้นนั้นไม่ควรจะทำแตก  แต่กลับต้องแตกไปเพราะความไม่สนใจระมัดระวังของฉัน  และบางทีเราอาจจะต้องซื้อหามาแทนมัน…..

“พ่อชอบญี่ปุ่นหรือฮะ”วัฒนาถาม

พ่อหมอส่ายหน้า “เปล่า พ่อยกย่องในคนของเขา ควรที่เราจะต้องเอาอย่าง อย่าไปพาลหาเรื่องเขาในเมื่อเราทำอย่างเขาไม่ได้ วัฒนา เราต้องทำอย่างญี่ปุ่นได้  คือสร้างบ้านเมืองของเราให้ก้าวหน้าต่อไป”

พ่อหมอกวาดสายตาผ่านหน้าพวกเราไปทีละคน  “ทีนี้เข้าใจกันสินะว่าครั้งหนึ่งเราเคยเจริญเหนือญี่ปุ่น ต่อจากนี้เราจะต้องพยายามให้เหนือเขา ไม่ใช่ไปอิจฉาเขา เกลียดเขา เข้าใจไหม”