สารคดี สุขภาพจิตเสื่อมหรือ

สุขภาพจิตเสื่อมหรือ??

สลวย  โรจนสโรช

ข้าพเจ้าเกือบไม่อยากอ่านหนังสือพิทพ์เพราะมีแต่ข่าวที่ไม่ค่อยจะเป็นมงคลหู    มักจะเป็นเรื่องที่ทำให้สุขภาพจิตเสื่อม  เช่นเรื่องฆ่ากันตายโดยไม่มีเหตุผลสมควรที่จะต้องมาตายกัน    หรือบางทีก็เป็นเรื่องราวอุปัทวเหตุเพราะความไม่รับผิดชอบของมนุษย์    บางเรื่องยิ่งทำให้สลดใจยิ่งขึ้น    เช่นเรื่องความรักเป็นพิษ    ลูกเมียตนก็มีอยู่แล้วยังปันใจไปคลั่งไคล้คนอื่นเสียจนยอมตาย     โดยไม่เคยคิดถึงลูกเมียที่อยู่ข้างหลัง    ได้แต่ปองใจว่าโลกทำไมจึงเป็นอย่างนี้    ใกล้กับจุดดับ  โลกแตกหรืออย่างไร

ยิ่งอ่านข่าวต่างประเทศ    ยิ่งร้ายไปใหญ่    เกิดสงครามกันไม่รู้ว่ากี่ประเทศตาย    อดอยากยากแค้น    ซัดเซไร้ที่พึ่งพิง    เด็กๆขาดอาหาร  ขาดพ่อ  ขาดแม่  ขาดญาติ  ขาดมิตร…

ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าอ่านบทความของหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับใด    พูดถึงนักจิตวิทยาหรือแพทย์สาขาสุขภาพจิตก็จำไม่ได้แน่ชัด    แต่ที่ประทับใจและจำได้แน่นอนเขากล่าวว่า  ในอนาคตอันไม่เกินยี่สิบปี    โลกจะยิ่งประสบความทารุณโหดเหี้ยมยิ่งขึ้น    เพราะผู้นำประเทศในอนาคตจะเหี้ยม    กระหายเลือดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์     ที่เป็นเช่นนี้เขาว่าเพราะเด็กวันนี้    ต้องประสบกับภาพอันฝังใจจากสงครามในบ้านของตน  ได้เห็นคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณ    ได้ประสบกับความมีบ้านแตก    กำพร้าพ่อแม่พี่น้อง    สิ่งเหล้านี้ได้พบและเผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน     แล้วก็จเกิดฝังความหี้ยมเกรียมอย่างนี้ไว้ในสันดานผสมกับความเคียดแค้น    เมื่อเด็กวัยนี้เติบโตต่อไปในภายภาคหน้าก็จะเป็นผู้ที่กำชะตาของบ้านเมืองเอาไว้และเนื่องจากความเคียดแค้น    ความเหี้ยมที่เคยเห็นฝังใจอยู่    ก็จะกลายเป็นผู้นำประเทศไปในทางที่ตนเคยพบหรือยิ่งกว่า

ประเทศไทยโชคดีเหลือเกินที่ไม่มีสงครามในบ้านของเรา    แต่อย่างไรก็ตาม    สังเกตว่าทุกวันนี้ชายแดนของเราก็ประสบภัยพิบัติจากความโหดร้ายทารุณของสงคราม    เราเยาวชนทุกวันนี้ก็ได้รับข่าวจากหนังสือพิมพ์    ได้เห็นภาพทารุณจากโทรทัศน์    จากภาพยนต์    แล้วสิ่งเหล่านี้จะฝังเข้าไปในกมลสันดานสักแค่ไหน    เรียกว่าเหตุการณ์ร้ายเกิดที่อื่น    ต่มีผลกระทบถึงเรา

ข้าพเจ้าอ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็คิดวิตกไม่ได้    แม่ข่าวฆ่าตกรรมทุกวันนี้ก็ทารุณไม่ใช่เพียงแต่ให้ตาย    มันเป็นการฆ่าแบบแค้น    แบบกระหายเลือดมากกว่า    ทั้งที่เราเป็นเมืองพุทธ

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดแก่ตัวข้าพเจ้า    แต่    มันก็ทำให้ข้าพเจ้าเป็นโรคสุขภาพจิตเสื่อมโทรมไปได้

ยิ่งสมัยที่เศรษฐกิจเสื่อมโทรม    รัฐบาลไม่มีเงินจะจ่ายเงินเดือน    ค่าเดิมของเงินบาทโทรมลงไป    สินค้าก็แพงขึ้น    ค่าใช้จ่ายที่เคยกำหนดไว้ก็เปลี่ยนเป็นสูงขึ้นกว่าเดิม    รายได้เริ่มจะไม่ค่อยจะพอกับรายจ่าย   คนงานกรรมกรก็เรียกค่าแรงงานเพิ่มโดยไม่คำนึงถึงนายจ้างว่าจะมีรายจ่ายหรือไม่    ในที่สุดงานก็ต้องเลิกล้มไป    เพราะไม่มีเงินที่จะทนประกอบการอยู่ได้เมื่อขาดทุน    คนที่เรียกร้องค่าแรงสูงขึ้นก็กลายเป็นคนทุบหม้อข้าวตนเอง    โจรผู้ร้ายก็ชุกชุมขึ้นจนไม่กล้าที่จะไปไหนมาไหนคนเดียวในเวลามืดค่ำ    มีเงินติดตัวนิดหน่อยก็กลัวเสียแล้ว    อย่างชนิดที่เขาว่า    “มีทองเท่าหนวดกุ้งนอนสะดุ้งจนเรือนไหว”

ข้าพเจ้าก็เลยเป็นบุคคลที่ขี้หลงขี้ลืมยิ่งขึ้น    ขี้รำคาญมากขึ้น    ความที่เคยเป็นคนชุ่ยอยู่แล้วก็ชุ่ยยิ่งขึ้น    ว่าจะประหยัดใช้กับเขาให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจของตนก็เลยไม่ได้ประหยัด    เพราะสิ่งที่คิดว่าจะเก็บสงวนไว้ใช้นานก็มักจะหลงลืมหายไป

เรื่องที่น่าขันคือการส่งจดหมาย    เคยซื้อแสตมป์ดวงละ  1  บาท    และดวงละ   3  บาท  ปรากฏว่าดวงละ  1  บาท  ต้องปิดแสตมป์  2  บาท    ทุกฉบับ    เพราะบ้านของข้าพเจ้าอยู่ไกลที่ทำการไปรษณ์    ขืนเดินทางมาซื้อเพิ่มก็จะเสียค่ารถแพงขึ้นอีก    จึงเลยตามเลย    ติดแสตมป์เสีย   2  บาทก็ยังดีกว่าให้ผู้ที่ข้าพเจ้าส่งจดหมายไปถึงเสียค่าปรับ    หลายวันต่อมา    เจ้าแสตมป์ปึกที่หายไปก็เกิดหาพบ     ปรากฏว่าขยำขยี้เปียกปอน    ติดกันเป็นปึก    ดึงแยกจากกันก็เลยกลายเป็นแสตมป์ขาดและเก่าหมดสภาพไป    ใช้ไม่ได้

เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่า    ดีเหมือนกัน    ข้าพเจ้าได้ช่วยชาติวิธีนี้ดีแน่    และขอเชิญชวนให้เพื่อๆใช้วิธีเดียวกัน    คือ     ติดแสตมป์จดหมายให้มันเกินราคา    และทำแสตมป์ให้เสียไปบ้างก็เป็นการช่วยชาติอย่างหนึ่ง    กีกว่าการเสียภาษีอีก    เพราะแสตมป์ดวงละบาทรัฐบาลจะเสียค่าพิมพ์คงกี่สตางค์    อาจจะเพียงห้าสตางค์    ขยันทิ้งจดหมาย    บุรุษไปรษณิย์ต้องเพิ่มขึ้น    ลดจำนวนคนว่างงานไปได้เหมือนกัน    ยิ่งขยี้แสตมป์ทิ้งอย่างข้าเจ้าก็ยิ่งดีใหญ่    รัฐบาลจะได้เพิ่มจำนวนการพิมพ์แสตมป์ยิ่งขึ้น    ยิ่งพิมพ์มากเท่าไร    รัฐบาลก็ยิ่งดีใหญ่    รัฐบาลจะได้เพิ่มจำนวนการพิมแสตมป์ยิ่งขึ้น    ยิ่งพิมพ์มากเท่าไร    รัฐบาลก็ยิ่งมีเงินเข้าคลังมากขึ้นเท่านั้น    สะดวกสบายกว่าการเรียกเก็บภาษีเป็นไหนๆ    และข้าพเจ้าก็ไม่ต้องไปกินแหนงแคลงใจว่ารัฐบาลเรียกเก็บภาษีจากข้าพเจ้าแร้วเอาไปทำอะไร

สุขภาพจิตของข้าพเจ้าก็ทำท่าจะดีขึ้น    ได้คืดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนั้นก็ดีเหมือนกันที่ประชากรของโลกเกิดมากเกินไปจนอาหารไมเพียงพอ    ถ้าไม่มีการตายเสียบ้างก็จะต้องฆ่ากินกันเอง    มีโจรผู้ร้ายชุกชุมก็ดีเหมือนกัน    แบ่งๆให้กันกินกันใช้เสียบ้างเพราะบางคนมีจนกระทั่งต้องเอามาใส่อวดหรือมีเงินมากจนกระทั่งต้องเอามาพกอวดกัน    แล้วอีกประการมีโจรผู้ร้ายมากๆก็จะต้องจ้างตำรวจมากๆ    คนก็จะมีงานทำมากขึ้นเพราะได้มาเป็นตำรวจ    คนที่ป้องกันโจร     กรรมก็ต้องจ้างยาม    ก็ทำให้ลดการว่างงานไปได้    ข้าพเจ้าดีแน่

ข้าพเจ้าว่าถ้าทุกคนคิดมุมกลับตรงข้ามเข้าไว้โดยคิดจากมุมลบเป็นมุมบวกอยู่เสมอก็คงจะไม่เป็นโรคสุขภาพจิตเสื่อมกลับเป็นคนมีสุขภาพจิตดี    ละเมื่อต่างคนค่างไม่มีใครเสื่อม    ก็คงจะอยู่กันด้วยดีมีความสุขตลอดไป

ตั้งแต่ข้าพเจ้าช่วยติดดวงตราไปรษณีย์เกินราคา    ขยี้แสตมป์ทิ้ง    ข้าพเจ้ามีสุขภาพดีขึ้น    และภูมิใจว่าข้าพเจ้าได้ช่วยเศรษฐกิจรัฐบาลไปได้    หากพวกเราช่วยกันคนละเล็กละน้อยอย่างข้าพเจ้า    ปีหนึ่งๆรัฐคงจะได้เงินมากเหมือนกัน    เราได้ช่วยรัฐโดยรัฐไม่ต้องตอบแทนเหมือนเราเสียภาษีให้แก่รัฐ

ม.ค.  28