หนูเป็นโรค……
ส.คุปต์
“หนูเป็นโรค…”
คำว่าหนูเป็นโรคทำให้ข้าพเจ้าสะดุ้ง มันหมายถึงโรคระบาดกำลังเข้ามาสู่โรคนี้อีกครั้งหนึ่งแล้วหรือ และต่อไปนี้จะเป็นการระบาดระยะยาว คนเป็นโรคนี้จะต้องทรมาณสืบต่อไปถึงลูกหลาน จหมดเผ่าพันธ์มนุษยชาติ โทรทัศน์ได้เคยถ่ายภาพ “หนูเป็นโรค” ที่เดินไปมาอยู่ตามริมคลองหลังกระทรวงยุติธรรม “หนู” พวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นโรคขายตัวด้วยราคาถูก บางครั้งก็เที่ยวเดินฉุดคนอย่างไร้ยางอาย หรือไม่เคยอาย… และยังมีเด็กเลือดเนื้อเชื้อสายหนูเป็นโรคพวกนี้ นั่งบ้าง ยืนบ้าง บางทีก็นอนอยู่ริมคลองอย่างน่าอเน็จอนาจ “หนูเป็นโรค” พวกนี้ แพร่โรคระบาดเอดส์อันจะเป็นผลร้ายต่อโลกมนุษย์ในอนาคตอันไกลและอันใกล้อย่างแน่นอน ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีสิ่งใดจะเยียวยารักษาหรือกำจัด “หนูเป็นโรค” พวกนี้ได้
“หนูเป็นโรค…” ในอดีต เคยน่ากลังมากมายก่ายกอง ล้างผลาญมนุษยชาติมากมายนับตั้งครึ่งค่อนโลกมาแล้วเหมือนกัน หากแต่โรคระบาดในอดีตนั้นไม่ได้เกิดจากคนที่พูดว่า “หนูเป็นโรค”…” ไม่ใช่เกิดจากคนที่รับสภาพชะตาชีวิตที่เกิดมาลำบากยากแค้นขายตัวเองเพื่อยังชีพ และประชดประชันชีวิต บางที อาจจะขายตนเองเพื่อตอบแทนความหฤโหดในความใคร่ของผู้ชายด้วยการแพร่โรคที่ตนได้รับมา…
“หนูเป็นโรค…” ในอดีต เกิดจากหนูจริงๆ เป็นสัตว์ตัวไม่ใหญ่นัก สี่ขา มีสองหู หางยาว และมีขนทั่วตัว โรคนี้ เดิมทีเป็นเฉพาะหนู แล้วระบาดมาติดคน เมื่อคนไปสัมผัสหนูที่เป็นโรค หรือบางทีมีหนูที่ยังไม่ป่วยแต่แอบซ่อนพลุกพล่านอยู่ตามที่อาศัยของคน ทำให้หนูมากัดคน โรคชนิดนี้เรียกกันว่าโรค Plague มีสามชนิดด้วยกัน ชนิดหนึ่งมีอาการบวมตามต่อมน้ำเหลือง เรียกว่า Bubonic Plague อีกชนิดหนึ่งลามไปเกิดที่ปอดเรียกว่า Pneumonic Plague ชนิดที่สามนั้นทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ ซึ่งมักตะตายก่อนอาการของทั้งสองโรคที่กล่างนั้นจะปรากฏ โรคนีระบาดตามแหล่งชุมชฃน ซึ่งเป็นแหล่งหนูชุกชุม หรือบางทีก็เกิดตามทะเลทรายหรือตามทุ่งที่มีหนูมาก
โรคนี้จะเกิดมาตั้งแต่อดีตกาลนานเท่าไรไม่ปรากฏ แต่มีหลักฐานบันทึกว่า เกิดโรคระบาดนี้ในประเทศลิเบีย อิยิปต์ และซีเรีย มีคนตายมากมายก่ายกองเมื่อ พ.ศ. 200 และอ้างว่า แหล่งระบาดของโรคนี้อยู่แถบตอนเหนือของอาฟริกา และระบาดอยู่นานหลายร้อยปี
ราวๆ พ.ศ. 1100-1200 โรคนี้แพร่เข้ายุโรป โดยเข้ามาทางเรือระบาดตามเมืองท่าของโรมัน แล้วจึงระบาดเข้าในเมือง การระบาดนี้เขาว่าต้นตอมาจากประเทศอิยิปต์ไปตามริมฝั่งทะเลตอนเหนือของทวีปอาฟริกา
ประมาณ พ.ศ.1950 โรคนี้ระบาดหนักในยุโรปอีก และตอนนี้เองที่มีการเรียกโรคจากหนูนี้ว่า “ไข้กาฬ” เป็นโรคต่อมน้ำเหลืองบวมและโรคติดที่ปอด กล่าวกันว่ามีคนตายถึง 25 ล้านคน
ช่วง 200 ปีระหว่าง พ.ศ. 2043 ถึง 2243 มีการระบาดถึง 45 ครั้ง และในเดือนมิถุนายน 2208 เกิดระบาดครั้งใหญ่ที่กรุงลอนดอน วิธีกำจัดโรคในกรุงลอนดอนก็คือ จับแมว หมา หนูเล็ก หนูใหญ่ทั้งหลายเผาหมด ในปี พ.ศ. 2209 ปรากฏว่าชาวกรุงลอนดอนต้องเสียชีวิตเพราะโรคนี้ถึง 68,000 คน จกระทั่งเมื่อวันที่ 2 กันยายนปีนั้นนั่นเองเกิดไฟไหม้ใหญ่กลางกรุงลอนดอน เผาผลาญเมืองไปถึงสี่ส่วนในห้าส่วน ช่วยล้างเมืองให้พ้นจากโรคระบาดนี้ไปได้
20 ปีต่อมา ในช่วง พ.ศ. 2263 เกิดระบาดที่เมืองมาร์ชายของฝรั่งเศสอันเป็นเมืองท่า เนื่องจากเรือสินค้าจากอาฟริกาได้นำสินค้าและมีคนในเรือเกิดตายขึ้น แปดคนเข้ามาเทียบท่า แม้จะมีด่านกักเก็บสินค้าแล้วก็ตาม ก็มีการลักลอบเอาผ้าและแพรเข้าไปในเมือง จึงเกิดโรคระบาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะนั้นมีคนตายในเมืองถึง 40,000 คนและในปริมลฑลของเมืองอีก 10,000 คน เหตุเพราะการกระทำผิดกฏหมายลักลอบนำสิ่งติดโรคเข้าไป ข้อแนะนำในการปฏิบัติก็คือ เมื่อเกิดโรคขึ้นที่ไหนให้รีบทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องอพยพไปให้ไกลที่สุดเป็นเวลานานจนแน่ใจจึงกลับมา
เมื่อไม่นานมานี้เองในปี พ.ศ. 2543 ปรากฏว่ามีการระบาดอีกครั้งจากไซบีเรียตะวันออก ที่จริงชาวมองโกลในไซบีเรียนั้นกินหมู เขาว่าเนื้อมันอร่อยมาก แต่รู้จักกันคือจะไม่ยอมกินก้อนมันใต้ขาห้าของหนูซึ่งเป็นต่อมน้ำเหลือง ถือว่าเป็นพิษ กินไม่ได้ แต่เมื่อเกิดการนิยมกินหนังหนูขึ้นมา พวกคนจีนอพยพเข้าไปล่าหนูในไซบีเรีย ไม่รู้จักธรรมชาติของโรคนี้ จึงเกิดเป็โรคขึ้น ตามปกติแล้วพอพวกมองโมลรู้ว่าใครเป็นโรคนี้เขาจะทิ้งทันทีปล่อยให้โดเดี่ยว แต่คนจีนไม่เข้าใจพยายามนำกลับมารักษาเยียวยาที่บ้าน จึงเกิดระบาดเป็นการใหญ่ และจากที่นี่นั่นเอง ที่โรคนี้ได้พี่เข้ามาระบาดในประเทศไทย
คนไทยเริ่มรู้จักโรคนี้เมื่อไรไม่ปรากฏแต่เรารู้กันว่ามีโรคกาฬ อาจจะเคยเกิดมาจึงมีประวัติการอพยพทิ้งเมืองกัน แต่ก็ไม่มีระบุว่าเพราะเหตุใด นอกจากคำว่า “หนูเป็นโรค…” และเรารู้กันว่า หากเกิดโรคนี้ที่ไหน จะต้องอพยพหนี โดยจะต้องพยายามเผาเครื่องใช้ละบ้านช่องให้หมด เพื่อให้หนูและหมัดจาหนูนั้นตาย โรคจึงยุติลงได้
และเมื่อโรคระบาดจากจีนมั่นเอง ได้เข้ามาระบาดในเมืองไทย และเกิดเรื่องอาถรรพ์ที่สยองที่ตลาดบางเขน เพราะ “หนูเป็นโรค…” นั่นเอง
สมัยนั้น ยังไม่มีถนนผ่านบางเขน มีแต่รถไฟสายเดียว ตลาดบางเขนคือย่านการค้าริมทางรถไฟ และนางหอม พร้อมทั้งนายเฮง และครอบครัวก็อยู่ที่ตลาดบางเขน ขายของชำและมีสวนผัก สวนผลไม้หลังบ้าน ยังมีชีวิตอย่างผู้มีอันจะกินตลอดมา จนกระทั่ง คืนหนึ่งใกล้จะรุ่งสว่าง นางหอมฝันว่า
..มีคนเข้ามาในร้าน ร้องว่า “ตัวผีร้ายอยู่ที่นี่เอง ต้นตอแห่งความจาย อย่าให้มันเกิดขึ้นมานะ…”
นางหอมคุกเข่าลงวิงวอนคนทั้งสี่ว่า “ขอเถอะพ่อคุณ อย่าให้อิฉันต้องตายทั้งกำลังท้องเลย เขาเรียกว่าตายทั้งกลม ไม่ดีดอก ขให้คลอดลูกคนนี้เสียก่อนจึงค่อยมาเอาไป ตอนนี้ก็จองกฐินเอาไว้ จะขอทำบุญเสียก่อน จะตายก็ไม่ว่า อีกประการรับที่จะถวายพระไตรปิฎกที่วัดไว้ ก็ขอให้ได้ทำบุญถวายสมใจด้วยเถอะ”
คนทั้งสี่ก็หันหน้าไปปรึกษากัน แล้วก็ตกลงกัน “เป็นอันว่าตกลง แต่จะต้องตีตราแกไว้ก่อน ว่า ถึงเวลาแกจะต้องไป”
แล้วก็ตีตราที่หน้าขาทั้งสองข้างของนางหอม ในขณะนั้นความจริงนางหอมฝัน แต่จะตื่นตั้งแต่เมื่อไรนางหอมไม่ทราบ เมื่อคนทั้งสี่จะไป นางหอมเห็นแสงไฟวูบสว่างทั้งมุ้ง แล้วคนทั้งสี่ก็หายไป
“เฮีย เห็นอะไรไหม” นางหมอถามสามี ซึ่งอนอยู่ข้างๆ
“ไม่เห็นมีอะไร” สามีงัวเงียตอบ
“เห็นแสงไฟสว่างวูบเข้ามาในมุ้ง เห็นไหม”
“ฮ่ย” ครางทั้งที่หลับตา “เวลารถไฟมาแสงไฟหน้ารถก็สว่างอย่างนี้ทุกที” เขาตอบทั้งที่ไม่มีรถไฟผ่านบ้านที่นางหอมอยู่สักกระบวนเดียวในช่วงเวลานั้น
ไม่มีประโยชน์ที่นางหอมจะมัวมาเถียงกับสามี นางมั่นใจว่า ฝันกึ่งหลับกึ่งตื่นของตนเป็นลางสังหรณ์ ดังนั้น จึงวิตกกังวลที่จะต้องทำตามสัญญาฝัน ก่อนที่จะครบกำหนดคลอดคือการทำบุญ ทอดกฐิน สร้างพระไตรปิฎกถวายวัดตามที่สัญญาไว้ แล้วก็จัดเตรียมตัวที่จะตายตามฝัน
ปรากฏว่าวันคลอดบุตร สมัยนั้นมักตะคลอดกันที่บ้าน และคนทีมาทำคลอดก็เป็นพวกที่เรียกกันว่าหมอตำแย นางหอมร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่เป็นเวลานานผิดปกติก็ไม่คลอดสักที นางเฮงผู้เป็นสามี หวาดวิตกว่านางหอมอาจจะตายตามฝันก็ได้ จึงไม่อยากฟังเสียงร้องครวญครางของภรรยา หนีไปทำงานในสวน เพื่อจะได้ไม่ต้องพะวงถึงความตายของนางหอม
เขาลงไปวิดน้ำลอกเลนในท้องร่องสวนเหมือนคนบ้า ทุ่มแรงลงไป วิดไป โกยเลนไป จนกระทั่ง มีคนวิ่งมาตาม
“เร็วเข้า จะแย่อยู่แล้ว อาไร้ เฮียนี่ แทนที่จะไปช่วยกันประคองเมียบ้างกลับมาวิดน้ำท้องร่อง เมื่อไหร่ก็มาทำได้ ไม่ใช่เวลาจะเป็นจะตายอย่างนี้”
เขาสบัดหน้า เหงื่อกระเซ็น ต้องใช้แขนขึ้นปาด แล้วก็ขึ้นมาจากท้องร่องสวน ใช้น้ำรถตัวพอให้โคลนที่ติดอยู่หมดไป แล้วก็วิ่งตามเสียงเรียกกลับมาบ้าน แทรกตัวเข้าไปช่วยกันประคองหลังนางหอมตามที่มีคนเรียก
ทันทีที่เหงื่อจากคางของเขาหยดแปะลงบนไหล่ของนางหอม ก็เกิดลมเบ่ง เด็กก็คลอดออกมา ร้องไห้จ้าด้วยเสียงเกรี้ยวกราดแข็งแรง…
“ออกมาแล้ว” เสียงบรรดาหมอตำแยจำเป็นร้อง “อ้าว ไหงมันมีฟันวะ สองซี่เชียวแหละ”
นางหอมหลับตาอย่างอ่อนระโหยแทบขาดใจ ปล่อยให้บรรดาผู้มาช่วยทำคลอดทั้งหลายจัดการกับตนและเด็กที่เกิดมา นางเฮงถอนใจ พึมพัมว่า… “ไม่ยักตาย”
..แต่ นายเฮงกลับรู้สึกตัวว่าปวดหัวเป็นไข้ ตัวร้อสูงขึ้นมาโดยไม่ทันได้สังเกตอาการของตมาก่อน และเมื่อไม่มีอะไรจะต้องทำ เขาจึงเลี่ยงไปเข้านอน คลุมโปงเพราะหนาวจัด ปล่อยให้คนที่มาช่วยจัดลูกสากระด้ง วางบนเตียงข้างนางหอมและจักแจงสุมไฟใต้เตียงให้ความร้อนแก่แม่และเด็ก ที่เขาเรียกสมัยนั้นว่า “ขึ้นกระดานไฟ”
ไม่มีใครสนใจนายเฮงผู้เป็นพ่อของเด็ก “มีฟันสองซี่” นั้นเลย ใครจะคิดอย่างไร ไม่มีการพูดถึง แต่ในส่วนลึกของหัวใจ นางหอมและทุกคนที่รู้เรื่องความฝันมีความรู้สึกย้อกลับไปถึงความฝันของนางหอมที่ว่า “ตัวต้นตอแห่งความตาย” บางที เจ้าตัวนี้คือเด็กมีฟันนี้เองกระมัง
ปรากฏว่า ขณะที่แม่ลูกยังอยู่บนเตียงอังไฟที่เขาเรียกว่า “อยู่ไฟ” หลังคลอดนั้นนายเฮงก็ถึงแก่ความตาย โดยไม่ทราบสาเหตุ
รุ่งขึ้นต่อมาลูกชายคนใหญ่ของนายเฮงก็ตายอีก ด้วยอาการเดียวกัน ทางการประกาศว่าเป็นโรคระบาด “ไข้กาฬ” อันเกิดจาก “หนูเป็นโรค” และช่วงั้นกำลังระบาดเข้ากรุงเทพฯ
เป็นอันว่า ทางการสั่งให้ทุกคนอพยพออกจากที่อยู่อาศัย รวมทั้งนางหอมและลูกน้อยพึ่งเกิดด้วย บรรดาเสื้อผ้าเครื่องใช้ให้จัดการเผาทั้งหมด รวมทั้งตลาดบางเขน
เด็กมีฟันสองซี่นั้นเองคือต้นเหตุแห่งความตายและความวอดวายที่เกิดแก่คชาวตลาดบางเขน เนื่องจากปรากฏว่า ในท้องร่องสวนที่นายเฮงไปวิดน้ำโกยเลนนั้นได้มีหนูตาย และ ”หนูเป็นโรค” ตัวนั้น เมื่อนายเฮงไปสัมผ้สเข้าก็ติดเข้าไปตามลมหายใจ และเข้าจับปอดเป็นชนิด Pneumonic Plague ซึ่งระบาดไปอย่างรวดเร็ว
แต่อย่างไรก็ตาม นางหอมไม่ตาย และเด็กคนนั้นก็ไม่ตาย แต่ผู้เป็นแม่มีความเกลียดชังลูกคนนี้ยิ่งนัก แถมกลัวเสียด้วย ชาวตลาดบางเขนที่อพยพหลบโรคมาได้นั้นก็กล่าวขวัญถึงเด็กคนนี้ และคอยดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางหอมแม่ของเด็กและเจ้า “ต้นตอ” แห่งความตายคนนี้
เขาเล่ากันว่าเด็กคนนี้ไม่น่ารักเหมือนเด็กที่เป็นพี่น้องเลย ห้าตาน่ากลัวและฟันสองซี่เบ้อเร่อนั้นทำให้ดูใบหน้าของเขาแก่และน่ากลัวมาก ผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมเกี่ยวกับไข้กาฬระบาดครั้งนั้น หลายคนถูกส่งมายังโรงพยาบาลโรคติดต่อที่คลองสานฝั่งธนบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลโรคประสาท
ไม่กี่ปีต่อมา เด็กคนนั้นก็ตาย ไม่มีใครกล่าวถึงว่าตายเพราะโรคอะไรและโรค “หนูเป็นโรค” ก็สงบลงไม่กี่ปีต่อมา ไม่มีหลักฐานว่ามีคนตายเนื่องจากกาฬโรคระบาดครั้งนั้เท่าไร แต่คนสมัยนั้นเคยลืมอาถรรพ์สยองที่เกิดจากความฝันนั้นเลย