เหม เวชกร ที่ข้าพเจ้ารู้จัก
โดย ส. คุปตาภา
คุณเหม เวชกรไม่ใช่แต่เป็นจิตรกร ผู้เลื่องชื่ออย่างเดียว ท่านยังเป็นนักประพันธ์ที่ฝากผลงานไว้เป็นจำนวนไม่น้อย และข้าพเจ้าก็เป็นคนหนึ่งที่พยายามจะติดตามผลงานของท่านมาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก
เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นนิสิตใหม่ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายทศวรรษกล่ามาแล้ว เพื่อนรุ่นพี่ของข้าพเจ้าได้ชวนข้าพเจ้าไปหาคุณเหม เวชกร เนื่องด้วยเราชื่นชมผลงานของท่านเป็นอันมาก โดยเฉพาะรูปเขียนซึ่งเป็นรูปเหมือนที่อ่อนช้อยมีชีวิตชีวา สวยงาม
บ้านของท่านในระยะนั้นเป็นเรือนเล็ก ๆ ใต้ถุนสูง อยู่จังหวัดธนบุรี ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ ล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่และต้นกล้วยขึ้นทึบไม่ได้ระเบียบเหมือนสวนย่อม ๆ เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้
เมื่อเราไปถึง คุณเหม เวชกร ต้อนรับขับสู้เราด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดียิ่งทั้งที่ท่านอาวุโสกว่าเรามาก
เมื่อคุยกันถึงเรื่องการเขียนรูปของท่าน ท่านชี้ให้เราดูต้นไม้สูง ๆ ที่เสียดกิ่งก้านสูง ขึ้นมาถึงหน้าต่าง ว่า “ นี่ไงป่าของผม ”
ท่านใช้ต้นไม้เหล่านั้นเป็นพื้นฐานเพื่อให้เกิดจิตนาการในการเขียนรูปป่า จากต้นไม่เพียงไม่กี่ต้นและต้นกล้วยเบียดเสียดกันอยู่นั้นท่านก็ผลิตรูปป่าออกมา ไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันป่าและยังมีรูปชายหนุ่ม หญิงสาว พระเอก นางเอก พลอดรักกันใต้ร่มพฤกษ์ในป่านั้นอีก ตอนนั้นข้าพเจ้ายังอยู่ในวัยรุ่น จึงหลงใหลในรูปเขียนของเหม เวชกรเป็นที่ยิ่ง
ที่ข้างหน้าต่างมีตู้กระจกสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เป็นที่เลี้ยงปลา 2-3 ตัว มันเวียนว่ายอยู่รอบเกาะแก่งเล็ก ๆ ที่มีปะการังและสาหร่ายอยู่ใต้น้ำก้นตู้ เหมือนก้นทะเล ท่านก็ชี้ให้ข้าพเจ้าดู แล้วบอกว่า “ นี่ไงทะเลของผม ”
ท่านใช้ตู้กระจกใบนี้และสิ่งที่อยู่ในตู้นั้นบันดาลให้เกิดจิตนาการเขียนรูปใต้ทะเลลึกไม่ทราบว่ากี่ร้อยรูป ท่านบอกด้วยว่า “ การที่เราจะเขียนภาพปลา เราต้องศึกษาอากัปกิริยาของมัน มันว่ายอย่างไร มันใช้ปะการังอย่างไร แม้แต่สาหร่ายต้องเคลื่อนตัวอย่างไรก็ต้องสังเกตด้วย ”
ข้าพเจ้าจำได้ว่า ห้องทำงานของท่านนั้นเป็นห้องเล็ก ๆ มีหน้าต่างออกสู่ป่าของท่านและมีทะเลของท่านอยู่ในตู้ข้างหน้าต่าง แล้วก็ไม่มีเครื่องตกแต่งประดับประดาใด ๆ เรานั่งพับเพียบคุยกันบนพื้นอย่างสนิทสนมและเป็นกันเองที่สุด
การที่ท่านจะเขียนรูปป่าหรือทะเล ท่านจะต้องนั่งมองป่าหรือทะเลของท่านเป็นเวลานานก่อน ท่านอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า การที่จะเขียนรูปคนนั้นจะต้องเข้าใจสภาพร่างกาย ต้องรู้จักกระดูกทุกชิ้น ข้อทุกข้อ และเอ็นทุกเอ็น ตลอดจนการยึดของเอ็นและการต่อของกระดูก กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายตลอดจนการบังคับให้เกิดการเคลื่อนไหว ต้องรู้จักขนาดหลับตามองเห็นเสียก่อนจึงจะเขียนรูปออกมามีชีวิตชีวาได้ อวัยวะที่เขียนยากที่สุดคือมือ ท่ามือต่าง ๆ ทำอย่างไรจึงจะเกิดความมีชีวิตชีวาแก่มือนั้น ๆ ได้
ตอนนี้เองที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักคุณเหม เวชกรอีกด้านหนึ่ง ที่อาจจะไม่มีใครรู้จักท่าน ท่านพูดถึงเซลในร่างกาย “ คุณเชื่อไหมครับ เซลของเราทุกคนนั้นเราสามารถบังคับให้หดตัวได้ตามใจเรา ”
และเพราะเรื่องนี้เอง ท่านจึงพาข้าพเจ้าไปรู้จักกับไสยศาสตร์ อันเป็นวิทยาศาสตร์ที่ท่านศึกษาและเข้าใจแจ่มแจ้ง
ท่านกล่าวว่า “ เซลของเราทุกเซลนี้บังคับได้ ” ท่านยังยืดแขนของท่านให้ข้าพเจ้าดู แล้วชี้ผิวของท่าน ตรงนี้เราจะบังคับให้มันหดตัว ยืดหยุ่นอย่างไรก็ได้ จนกระทั่งยามที่ถูกแทงนั้น มันจะหยุ่นตัวตามคมมีดลงไป ทำให้แทงไม่เข้า และตรงนี้นี่เองที่เข้าเรียกว่า “ เหนียว ”
“ ดิฉันเห็นแต่ว่าเขาต้องมีคาถาเสกใบพลูแล้วให้กินกับเหล้าเข้าไป คนมีคาถาอาคมดี ๆ ฉมังจึงทำให้เกิดการเหนียวแทงไม่ได้ ฟันไม่เข้า ” ข้าพเจ้าเถียง
“ เปล่าดอก การที่ต้องกินใบพลูเสกกับเหล้าหรืออะไรนั่นเป็นแต่เพียงการกระตุ้นพลังจิตให้ไปบังคับเซลในร่างกายเราให้หดหรือหยุ่นตัวให้หดตามที่คมมากระทบเท่านั้น ” ท่านอธิบาย “ คุณอยากจะลองก็ได้ มาฝึกสักพักเดียวก็ทำได้ ”
แต่ข้าพเจ้าไม่แข็งพอทีจะทดลองความเหนียวของข้าพเจ้าซึ่งน่าเสียดายยิ่งนัก
นอกจากความเหนียวท่านยังพูดถึงการหายตัวได้ “ ผมสามารถหายตัวได้จากสายตาของคุณ ถ้าคุณมาด้วยกันไม่เกินหกคน มากกว่านั้นอำนาจจิตของผมไม่พอ ” ท่านว่า
“ ทำอย่าไรคะ ” ข้าพเจ้าถาม เพื่อนคนที่พาข้าพเจ้าไปนั้นได้เคยรู้จักท่านเหม เวชกรมาแล้วอย่างดี และเคยรู้เคยเห็นมาก่อน
ที่จริงผมไม่ได้หายตัวไปไหน ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้ แต่คุณมองไม่เห็นเท่านั้นเอง เพราะผมสะกดจิตคุณให้มองผมไม่เห็น ” ท่านอธิบายต่อไป “ คนที่จิตแข็ง อาจจะสะกดจิตคนที่อ่อนกว่าได้ และเมื่อตกอยู่ในอำนาจจิตของใครคนหนึ่งครั้งหนึ่งแล้ว จะตกอยู่ใต้อำนาจจิตของคนนั้นตลอดไป หนักเข้าไม่ต้องมาพบหน้ากันก็อาจสะกดจิตกันได้ ขอเพียงแต่นึกว่าจะทำเท่านั้น ดังนั้น ผมอาจจะสะกดจิตคุณให้มองไม่เห็นผม ก็เหมาเอาว่าผมหายตัวได้ ”
ความฉงนสนเท่ห์ในท่านผู้นี้ จาการที่เป็นจิตรกรเอก มาจนถึงเป็นผู้สะกดจิตและผู้ที่คงกระพันชาตรีอีกด้วย ทำให้ข้าพเจ้าประทับใจ และยกย่องนับถือท่านตลอดมา เพราะอำนาจจิตท่านสูงหรือกระไรก็ตาม ทำให้ท่านอ่านจิตใจของข้าพเจ้าออก ว่าท่านจะชนะ ความยกย่องนับถือจากข้าพเจ้าต้องไม่ใช่เรื่องรูปเขียน หรือเรื่องวรรณกรรมที่ท่านผลิตออกมา จะต้องเป็นเรื่องประหลาดที่มนุษย์ธรรมดาอย่างข้าพเจ้าเห็นว่าเหลือกำลังที่จะเป็นอย่างท่านได้ เพราะตอนนั้นข้าพเจ้ายังเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังมีความผยองอยู่ในตนเองกระมัง
และเพราะเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงได้รู้จักคุณเหม เวชกรในด้านที่ไม่มีใครกล่าวถึง
***********************************