เกี่ยวกับฉัน

ประวัติชีวิต สลวย (คุปตาภา)โรจนสโรช

ความจริง การที่จะเขียนประวัติตนเองนั้น ข้าพเจ้าคิดว่ายากกว่าเขียนนวนิยาย  และยิ่งเจ้าของชีวิตเป็นผู้เขียนเอง ข้าพเจ้ารู้สึกว่ายิ่งเขียนยาก โดยเฉพาะการที่ต้องเขียนเกี่ยวโยงไปถึงบุคคลอื่น ข้าพเจ้าจึงต้องขออภัย หากมีนามของท่านผู้ใดปรากฎอยู่ในเอกสารฉบับนี้  และหากมีการผิดพลาดไปบ้าง

ครอบครัวของข้าพเจ้า

 บิดา   : นาวาตรีหลวงสง่า พลไกร  (สง่า คุปตาภา)

มารดา :นางบุญยัง คุปตาภา

สามี    :พลเรือตรีสมบุญ โรจนสโรช

บุตร    : ๑. นางสุประภา โมฬีรตานนท์

(แต่งงาน กับดร.วิบูลเกียรติ โมฬีรตานนท์ มีบุตร ๒ คน คือ นางสาวบุลยา       โมฬีรตานนท์ และนางสาวภามาศ โมฬีรตานนท์)

๒.นางสาวชลจิตรา โรจนสโรช

  ๓.นายไตรเดช คุปตาภา

 (โอนเป็นบุตรบุญธรรมของคุณตา นายสง่า คุปตาภา เนื่องด้วยต้องการให้นามสกุล      

“คุปตาภา”    ซึ่งเป็นนามสกุลพระราชทานมีผู้สืบสกุลต่อไป ข้าพเจ้าเป็นลูกโทนหญิง            แต่ฝ่าย”โรจนสโรช” นั้นมีลูกชาย 5 คน แต่งงานกับ นางคงพร รัตนาลังการ มีบุตรชายสืบสกุล “คุปตาภา”ให้คุณย่า 1 คน ชื่อ จัตุเดช )          

นามปากกา

            ส.คุปตาภา   ส.คุปต์   สมบุญซัง (ใช้ในนวนิยายหรือเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่น) สุประภา      ส.กำนัล (ใช้ในบทวิทยุและโทรทัศน์)  สลวย โรจนสโรช (ใช้ในเรื่องเกี่ยวกับวิชาการ) และอื่น ๆ

 

ประวัติชีวิตของตัวเองและของผู้ให้กำเนิด

วันเกิด วันที่ 4 ตุลาคม 2462

ข้าพเจ้าเกือบจะเป็นคนไร้ญาติ  เมื่อเกิดนั้นไม่เคยเห็นหน้าคุณปู่ ทราบแต่ว่ามีคุณย่า และคุณพ่อมีพี่สาวสองคนแต่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว สมัยนั้นติดต่อกันลำบาก ต่อมาคุณย่าก็ถึงแก่กรรมก่อนข้าพเจ้าเกิด ส่วนคุณแม่มีพี่น้องมารดาเดียวกันรวมสี่คน เป็นผู้หญิงล้วน บิดาเป็นคนจีนเรียกว่านายอากร และได้รับพระราชทานยศเป็น”หลวงรัตนสมบูรณ์” เนื่องจากได้ทำกิจการโดยตั้งโรงรับจำนำเป็นโรงแรกในประเทศไทย

          พี่สาวคนโตถึงแก่กรรมก่อน คนที่สองแต่งงานแล้วถึงแก่กรรมด้วยโรคอหิวาห์ ขณะที่กำลังตั้งครรภ์  และสามีไปศึกษาต่ออยู่ต่างประเทศ เมื่อน้องสาวคนเล็กแต่งงานออกไป คุณแม่จึงเข้าไปอยู่ในวัง แล้วในที่สุดก็ถวายบังคมลาท่านหญิงที่เลี้ยงคุณแม่ไว้ ออกมาอยู่กับป้า เนื่องจากอยากมีชีวิตอิสสระ และมีสมบัติที่มารดาเลี้ยงแบ่งมาให้มากพอเลี้ยงตัวได้ ความรู้สมัยนั้นแค่ประถมปีที่หนึ่ง แต่เขียนหนังสือได้เก่งและเขียนประวัติตนเองไว้ใด้วยทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบในภายหลังถึงเรื่องครอบครัวและพี่น้องของคุณแม่

 

วัยเด็กในค่ายทหาร

ตอนที่คุณแม่และคุณพ่อพบกันและตกลงแต่งงานกันนั้น เพราะท่านผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยกับครอบครัวของคุณยายอยู่ที่กองทหารเรือ ตำบลบ้านเพ สัตหีบ คุณแม่ชอบชีวิตที่นั่นมาก เล่าเสมอว่า เวลาจะไปตลาดหรืออำเภอจะต้องขี่ม้าจากบ้านไป-กลับ และเพราะเหตุนี้กระมังเมื่อการทำคลอดสมัยโบราณใช้หมอตำแย คุณแม่คลอดลูกชายคนแรก อยู่ได้วันเดียวก็ถึงแก่กรรม เมื่อคุณแม่มีข้าพเจ้าจึงต้องมาคลอดที่บ้านมารดาเลี้ยงที่กรุงเทพซึ่งเป็นโรงรับจำนำแถวสะพานเหล็กใกล้วังบูรพา

          คุณแม่เล่าว่า วันที่คลอดข้าพเจ้านั้น คุณพ่อยังอยู่ที่บ้านเพ และได้รับคำสั่งให้มารับราชการที่กองโรงเรียนชุมพลทหารเรือจังหวัดสมุทรปราการ ดังนั้นในอาทิตย์หรือสองอาทิตย์ที่คำสั่งออก คุณพ่อก็ขนของอพยพย้ายมาอยู่ที่ใหม่ตามคำสั่ง และรับข้าพเจ้ามาอยู่ด้วย สมัยนั้นจากสมุทรปราการจะเข้ากรุงเทพฯ ต้องเดินทางด้วยรถไฟ มาลงที่สถานีหัวลำโพง ครอบครัวของเราก็เลยต้องอยู่ที่นั่นตลอดเวลา โดยอยู่ที่บ้านพักนายทหารในกองโรงเรียนชุมพลทหารเรือ เป็นเรือนหลังเล็กที่ไม่ใหญ่นัก ปลูกห่างกันพอสมควร มีบริเวณแยกบ้านแต่ละบ้านจากกัน และมีทหารมาคอยตัดหญ้า ทำความสะอาด

          เมื่อข้าพเจ้าพอพูดรู้เรื่องและวิ่งเล่นได้ดีขึ้น คุณพ่อสอนให้เขียนและอ่านที่บ้านด้วยตนเอง โดยใช้สมุดมาไล้น้ำมันเพื่อให้กระดาษในสมุดบางใส แล้วท่านเขียนตัวหนังสือจาก ก ถึง ฮ ลงในกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง สอดลงใต้กระดาษที่บางใสนั้น หัดให้อ่านและเขียนตามลายมือของท่านทุกวัน จนอ่านออกเขียนได้ ต่อมาก็เขียนตัวเลข จำนวนนับ การบวก การลบ

          เมื่อคุณพ่อเสร็จธุระราชการของท่านพักตอนเที่ยง ท่านก็กลับมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านกับข้าพเจ้า เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ขอตรวจการบ้านที่ท่านสั่งแล้วให้อ่านให้ฟัง เช่น มีการท่อง ก.เอ๋ย ก.ไก่ ข.ไข่ถามหา ค.ควายเข้ามา ฯลฯ ซึ่งสมัยนี้เราเลิกการท่องจำไปแล้ว ท่านก็กลับไปทำงาน ตอนเย็นกลับจากงานแล้วก็มีการถามว่า ทหารที่มาที่บ้านทำอะไรบ้าง สอนอะไรบ้าง เป็นต้น

          กลางคืนคุณพ่อจะพาข้าพเจ้าออกไปนั่งริมสนาม แล้วเราก็แหงนดูดาวกัน เนื่องจากท่านเป็นทหารเรือ  ก็เล่าเรื่องโลก เรื่องดาวไปบ้างพอเรียกความสนใจเราเท่าที่เด็กเล็กๆ จะพอรู้ แต่เน้นให้จำที่ซึ่งดาวเหนืออยู่เหนือเราในตอนนั้น และสอนว่าอยู่ข้างซ้ายมือ หรือขวามือ หรือข้างหลังที่เรานั่ง หรือเมื่อเราเดินจูงมือกันไป เผื่อจะรู้เมื่อเวลาพลัดจากบ้านแล้วกลับไม่ถูก จะได้บอกถูกว่า บ้านอยู่ทางไหนของเราขณะที่กลับบ้านไม่ถูกนั้น  เพราะเหตุนี้กระมัง ข้าพเจ้าจึงสนใจในดาราศาสตร์เมื่อโตขึ้น แล้วศึกษาวิชาโหราศาสตร์อยู่พักหนึ่ง เมื่อมีชีวิตในราชการ

          เมื่อเขียนหนังสือตั้งแต่ ก.ไก่ ถึง ฮ นกฮูกคล่อง คุณพ่อก็หัดเขียน หัดอ่านผสมตัว จนถึงการเขียนเป็นประโยคสั้น ๆ จากการอ่านหนังสือพอประสมตัวได้ ก็ให้อ่านหนังสือ สมัยนั้นไม่มีหนังสือสำหรับเด็กและหนังสือพิมพ์ มีแต่หนังสือเก่า สุนทรภู่ ขุนช้าง ขุนแผนหรือสังข์ทอง เมื่อข้าพเจ้าพอจะอ่านผสมตัวได้ ท่านก็สอนให้อ่านเป็นคำกลอน ทุกวันท่านจะลอกคำกลอนจากหนังสือให้ข้าพเจ้าลอกตามและสอนให้อ่านดัง ๆ

สำหรับคุณแม่ เคยให้อ่านหนังสือเรื่อง “สาวเครือฟ้า”ดัง ๆ คุณแม่ได้ยินว่าอ่านผิดจะแก้ให้ กลับมาก็ให้ทบทวนเรื่องที่อ่านมาแล้วให้คุณพ่อฟัง ตอนนั้นสงสารสาวเครือฟ้า ถึงแก่ร้องไห้เมื่อเล่าเรื่อง

ตอนสามสี่ขวบนี้คุณแม่มักจะต้องไปค้างคืนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากคุณน้าซึ่งเป็นแม่หม้ายและมีลูกติดสองคนซึ่งเป็นโรคปอด ไม่มีใครดูแลคุณแม่จึงต้องมาดูแลน้องสาว ทิ้งข้าพเจ้าและคุณพ่ออยู่ด้วยกันสองคน  และบางครั้งจะอยู่กับพวกทหารเมื่อเวลาเขามาทำงานที่บ้าน

 

ความรู้รอบตัวจากชาวค่ายทหาร

 

          เมื่อทหารมาทำงานที่บ้าน  ข้าพเจ้าก็พอจะวิ่งลงไปหาพวกพี่ๆ เหล่านั้นช่วยดายหญ้าบ้าง บางครั้งก็ปืนต้นไม้ตามเขาไป ที่รู้มากก็คือเรื่องจิ้งหรีด ข้าพเจ้าจะรู้จักทุกชนิดและจำได้เป็นอย่างดี รู้กระทั่งว่าเพศไหน อย่างไร เขาจะสอนให้เอาดินมาปั้นเป็นกรง แล้วเอาก้านมะพร้าวปิดปากกรง การแหย่ให้มันกัดกันแล้วร้องกรีดกราด

ที่สำคัญที่สุด คือการดูรูงูในสนาม ปากน้ำสมัยนั้นขึ้นชื่อมากว่า”งูเห่า”ชุม เขาจะสอนว่า “รูงูนั้นมันชอนเข้าไปในสนามใต้พื้นดินลึกและคดเคี้ยว หนูอย่าเข้าไปล้วงหรือเข้าไปใกล้รูอย่างนั้นเชียวนะ และถ้าเข้าไปใกล้มันจะเอาหัวผงกขึ้นมากัดทันที   แล้วจะตายพี่ไม่รู้ด้วยนะ พี่ช่วยไม่ได้”

          ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่า “งูจงอาง” มันดุ  โดยเฉพาะหวงไข่มาก เขาเคยพาข้าพเจ้าเข้าไปดูวิธีจับงูจงอาง เขาจะรู้ว่างูนั้นอยู่ที่ไหน มันจะไข่กองรวมไว้แล้วแม่งูก็จะมาขดระวังไข่ หวงไข่ ก่อนจะจับงูจงอาง เราจะไปดูว่ามันจะขดตัวคุมไข่ของมันที่ไหนแน่ แล้วจะมาก่อฟืนจุดไฟ ตั้งกะทะใหญ่พอสมควร ใส่น้ำต้มจนเดือด แต่ต้องอยู่ไกลจากที่มันกกไข่มากโขอยู่ พอน้ำเดือดได้ที่ คนหนึ่งก็จะขี่ม้าไปที่กองไข่งูจงอาง แล้วรีบคว้าเอาไข่ขึ้นมาฟองเดียวหรือสองฟอง มันจะเลื้อยตามคนขโมยไข่ซึ่งขี่ม้าวิ่งหนีนำทางมันมายังกะทะน้ำเดือด ขับม้ากระโดดข้ามกะทะ โยนไข่ลงไปในกะทะ มันจะตามเข้าไปเพื่อจะคาบไข่ของมันขึ้นมา ถ้าน้ำร้อนจัดงูก็จะตาย ไล่ไม่ทันคนที่ขี่ม้าขโมยไข่ของมัน พวกคอยดูคอยช่วยเหลือหลายคนต่างถือไม้คอยช่วยเพื่อนอยู่ห่างๆ  หากพลาดโยนไข่ไม่ลงกะทะเป็นต้น เขาบอกว่างูพิษนี้มันแก้แค้น ถ้ามันไม่ตาย กลางคืนมันจะมาตามกัดศัตรูให้ตายเลยทีเดียว

          ตอนเช้าคุณพ่อต้องตื่นแต่เช้าไปฝึกทหาร ที่โรงฝึกไม่ห่างจากที่อยู่ของเรานัก   ท่านมีการอบรมทหารทุกวัน และข้าพเจ้าก็ได้ยินแทบทุกวันเรื่อง “ความรักชาติ” จะต้องป้องกันชาติอย่างไรบ้าง มีการฝึกท่าทหารต่าง ๆ  เมื่อฝึกเสร็จคุณพ่อก็จูงข้าพเจ้าซึ่งนั่งฟังท่านอยู่ที่ขอบโรงฝึกกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็ถามถึงว่าชาติเป็นอย่างไร ทำไมเราจึงต้องรักชาติ ป้องกันชาติ โดยบางทีเห็นมีการทำท่าแบกปืน เล็งปืนอะไร เป็นต้น นับว่าเป็นความรู้เบื้องต้นในเรื่องชาติเป็นอย่างดี แล้วก็เกิดจินตนาการตามคำที่คุณพ่ออบรมทหาร

 

การศึกษา ณ สถานศึกษา

 

เลือกเรียนโรงเรียนใกล้บ้านและได้เลื่อนชั้นสองครั้ง

เมื่อข้าพเจ้าอายุ 5 ขวบ คุณพ่อก็ได้รับคำสั่งให้มารับราชการยังกองทัพเรือที่กรุงเทพฯ มาเช่าบ้านอยู่นอกกองทหารใกล้โรงเรียนอำนวยศิลป์ ซึ่งเป็นตลาดปากคลองตลาดในปัจจุบัน แล้วได้เข้าศึกษาในชั้นประถมศึกษาปีที่สอง “โรงเรียนเสาวภา” เพราะโรงเรียนไม่มีชั้นประถมปีที่1เนื่องจากไม่มีนักเรียนพอเปิดชั้นเรียนในปีนั้นการเข้าเรียนในชั้นประถมปีที่สองนั้นเป็นการทดลองเรียน ถ้าสามารถตามชั้นได้ก็จะได้เรียนต่อ ปรากฏว่าเรียนได้จบชั้นมัธยมปีที่สาม

บังเอิญมี”โรงเรียนราชินี”อยู่ใกล้บ้านมากกว่าโรงเรียนเสาวภา ข้าพเจ้าได้รับความกรุณาของครูโรงเรียนราชินีซึ่งอยู่ใกล้บ้านและชอบพอกับคุณแม่รับเข้า ปรากฏชั้นมัธยมปีที่สี่ไม่มีที่ว่าง ข้าพเจ้าจึงได้รับเข้าเรียนในชั้นมัธยมปีที่ห้า โดยมีสัญญาว่า ถ้าหากข้าพเจ้าไม่สามารถจะตามชั้นได้ ก็จะต้องลดชั้นกลับเรียนชั้นมัธยมปีที่สามหรือสอง บังเอิญข้าพเจ้าตามชั้นได้ อาจจะเป็นเพราะมีความรู้รอบตัวมาก และเก่งท่องคณิตศาสตร์ที่คุณพ่อสอนให้ทุกคืน ข้าพเจ้าจึงได้อยู่โรงเรียนราชินีในชั้นมัธยมปีที่ห้ามาจนถึงมัธยมปีที่หก

          โรงเรียนราชินีซึ่งเราเรียกกันว่าราชินีล่าง อยู่ปากคลองตลาด มีแค่ชั้นมัธยมปีที่หก ซึ่งเรียกว่ามัธยมต้น ส่วนโรงเรียนราชินีบน อยู่บางกระบือมีชั้นมัธยมปลายคือมัธยมปีที่แปด ข้าพเจ้าสอบได้คะแนนดีและได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนราชินีระดับมัธยมปลายแผนกวิทยาศาสตร์ โดยเรียนห้องเดียวกับหมอโชติศรี ท่าราบ เรานั่งโต๊ะติดกัน เราเคยเขียนกวีนิพนธ์ส่งอาจารย์รวม จันทะพิมพะ ด้วยกัน

          เมื่อจบมัธยมปลาย ในปี 2478 ข้าพเจ้ามาสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เนื่องจากคุณพ่อเห็นว่าการเป็นหมอนั้นหนักเกินไปสำหรับลูกโทนผู้หญิงของคุณพ่อ และคุณพ่อเห็นว่าลูกอ่อนแอเกินไป แม้ขณะอ่านหนังสือหากมีเรื่องการเจ็บป่วยหรือการตายก็ต้องร้องไห้ทุกครั้ง เมื่อคุณหมอโชติศรี สอบเข้าคณะแพทย์ศาสตร์ได้เราก็เลยห่างเหินกันไป และต่อมา เราก็กลายเป็นนักเขียนกันทั้งคู่

 

          ปริญญาตรีสองใบจากสองสถาบันอุดมศึกษา

                ต้นปี 2478 ข้าพเจ้าสอบเข้าคณะอักษรศาสตร์ของมหาวิทยาลัย และเนื่องจากไม่มีความรู้ภาษาฝรั่งเศส จึงต้องเรียนคณิตศาสตร์แทน  มีนักเรียนประเภทเดียวกันนี้ 9 คน เป็นผู้หญิง3 คน ผู้ชาย 6 คน ดังนั้น จึงต้องเรียนวิชาคณิตศาสตร์รวมกับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ แทนการเรียนวิชาภาษาฝรั่งเศส วิชาเอกของข้าพเจ้าคือวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาประวัติศาสตร์

                ปลายปี 2481 เมื่ออายุได้ 19 ปี ข้าพเจ้าก็สอบได้รับปริญญาอักษรศาสตร์บัณฑิต    ต้นปี 2482 ข้าพเจ้าสมัครเข้าเป็นครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา

          ขณะเรียนคณะอักษรศาสตร์     ข้าพเจ้าก็มักแอบส่งบทประพันธ์โต้ตอบบทความหรือร้อยกรองเล็กๆ น้อย ๆ ค่อนแคะบ้าง โต้ตอบบ้างลงในหนังสือวารสารของจุฬาฯ โดยไม่ใส่นามจริง เปลี่ยนนามปากกาไปเรื่อย ๆ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้พิมพ์ดีด ใช้ลายมือเขียน เมื่อบรรณาธิการจับได้ว่าเรื่องที่โต้ตอบนั้นเป็นของข้าพเจ้า จึงรู้กันขึ้น นักศึกษารุ่นพี่ผู้หนึ่งจึงช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงให้ข้าพเจ้า โดยส่งเรื่องของข้าพเจ้าเป็นเรื่องสั้นชื่อ “ลูกของพ่อ” ไปลงในวารสารของสวนกุหลาบวิทยาลัย หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ใช้นามปากกา ส.คุปตาภาต่อมาโดยไม่ปิดบังอีก

          ขณะที่เป็นครู คุณพ่อมีความเป็นห่วงว่าข้าพเจ้าเป็นลูกหญิงคนเดียว ไม่มีญาติสนิท หากสิ้นท่านแล้วไม่มีใครเป็นที่ปรึกษา จึงแนะนำให้ข้าพเจ้าเข้าเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  โดยเป็นนักเรียนภายนอก ซื้อตำรามาอ่านแล้วไปสอบ บางทีก็ยืมตำราจากเพื่อนหรือศิษย์บ้าง สอบได้ข้อเขียนแล้วทางมหาวิทยาลัยจะเรียกสัมภาษณ์ ข้าพเจ้าติดใจถึงกับนำเรื่องการสอบสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย และวิชาสุดท้ายของข้าพเจ้าก่อนได้รับปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิต ลงพิมพ์ในหนังสือ “วันชาติ” ฉบับเดือนตุลาคม 2530 เรื่อง “นิติกรรมคืออะไร”

          ก่อนวันสอบสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าเหลืออยู่เพียงวิชาเดียว แต่ไม่ทราบเรื่องเพราะติดสอนหนังสือที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เผอิญพบศิษย์เก่าของข้าพเจ้าบอกว่า “พรุ่งนี้อาจารย์ต้องสอบสัมภาษณ์วิชาสุดท้าย” ข้าพเจ้าใจหายวาบเพราะไม่ได้เตรียมตัวและไม่มีภูมิเสียเลย ตำราที่จะทบทวนก็ไม่มี

          วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าก็ไปสอบที่ตึกโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในใจทอดอาลัยว่าคงสอบตกแน่ นักศึกษาที่จะสอบต้องไปเข้าคิวกันรอที่บันไดชั้นล่าง แล้วทยอยกันขึ้นไปสอบ คนที่สอบแล้วก็เดินลงบันไดสวนกลับลงมา คนที่รอสอบข้างข้าพเจ้าถามเพื่อนที่เดินลงมาว่า “ใครเป็นคนสอบ” คนที่เดินลงมาบอกว่า  ได้เจ้าคุณนิติศาสตร์ไพศาล ท่านถามคำเดียวว่า “นิติกรรมคืออะไร” ถ้าตอบได้ถูกต้องทุกแง่มุมของกฎหมาย ก็จะสอบผ่าน แต่ได้เพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าถามอีกข้อจะได้คะแนนสูงขึ้น

          ข้าพเจ้าใจเต้น ไม่ทราบว่าความรู้ของข้าพเจ้าจะตอบคำถามนี้ได้หรือไม่ แต่เขาผู้นั้นก็เดินลงบันไดไปแล้ว ข้าพเจ้ารีบแตกแถวตามไปถามเขาผู้นั้น เขาก็แนะนำให้อย่างละเอียดเนื่องจากทนรบเร้าอ้อนวอนจากข้าพเจ้าไม่ได้ ข้าพเจ้าท่องไว้ในใจและได้กลับมาเข้าแถวตามเดิม และวิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ข้าพเจ้าได้อาจารย์เจ้าคุณนิติศาสตร์ไพศาลเป็นผู้สอบ

          โดยที่ไม่รู้จักท่านเลย เมื่อถึงข้าพเจ้า พอดีโต๊ะมุมสุดนักศึกษาสอบเสร็จเดินออกมา เจ้าหน้าที่เรียกข้าพเจ้าเข้าไป เห็นท่านอาจารย์แก่ ๆ กำลังจะลุกขึ้นไปพัก ข้าพเจ้าคิดว่าต้องใช่ท่านแน่ ข้าพเจ้ากราบท่านที่โต๊ะ ท่านบ่นว่า “จะพักเสียหน่อยเข้ามาอีกแล้ว”

 แล้วท่านก็เรียกให้ข้าพเจ้านั่ง ตรวจดูประวัติข้าพเจ้า ถามว่าข้าพเจ้ามาเรียนกฎหมายทำไม ในเมื่อได้รับปริญญามาแล้ว ข้าพเจ้าตอบว่ากฎหมายมีความจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตของทุกคน คิดแต่เพียงว่าจะเอาใจท่านเพราะท่านเป็นนักกฎหมาย ท่านบอกว่า “เอาใช้ได้ ผมจะถามคุณคำเดียวว่า “นิติกรรมคืออะไร” ข้าพเจ้าตอบอย่างฉาดฉานตามที่ชายผู้มีพระคุณคนนั้นสอนมา ท่านอาจารย์ถามต่อว่าจะเอาคะแนนอีกหรือไม่ ข้าพเจ้ารีบตอบท่านว่า “พอแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันต้องการความรู้ทางกฎหมายเพื่อเป็นสิ่งปกป้องชีวิตเท่านั้นเจ้าค่ะ”

 ตั้งแต่ข้าพเจ้าได้ปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิตมา ข้าพเจ้าก็พยายามรวบรวมตำราทุกเล่ม จากมหาวิทยาลัย แล้วทบทวนดู เพราะล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ควรรู้สำหรับการดำรงชีวิตในภายหน้า เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับที่จะนำสันติสุขมาสู่ตนเอง  นำความฉลาดรู้ทันคน  แม้แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญเราทุกคนก็ต้องสนใจรู้

 

 ได้รับทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ

ปี 2509 ข้าพเจ้าได้รับทุนจากกระทรวงศึกษาธิการไปศึกษาต่อ ณ นครเอตมันตัน ประเทศแคนาดา ได้ Graduate Diploma of the Faculty of the Education in the Philosophy, Curriculum and Administration of Comprehensive High Schools ในประวัติที่ทางการส่งไปคงจะมีว่า ข้าพเจ้าเป็นนักเขียน ดังนั้นจึงมีหนังสือพิมพ์ของที่นั่น ชื่อ “Zonta” เป็นหนังสือพิมพ์ “The Journal of the Family” บรรณาธิการชื่อ “Ruth Bowen” มาสัมภาษณ์ข้าพเจ้าและขอให้ข้าพเจ้าเขียนเรื่องให้เขา ข้าพเจ้าเขียนร้อยกรองให้เขาบทหนึ่ง “A Writer’s Confession” เนื้อหามีดังนี้

A Writer ‘s Confession

Please don’t believe in the words I write.

There ‘s no meaning, just pretend to say;

For the sake of the rhythm and the style.

 

Writer dreams are in beauty and gay .

The poems composed ’re not in the reality.

Nothing be worth for the attention you pay.

 

Love! No! not such a love in me,

Dear family that my hearth concerns.

For what I ‘ve done, I ‘m very sorry.

 

It’s the confession of a naughty girl,

A foreigner from a far away land.

She does confess to appeal the world.

 

From now on, nothing more she ‘ll plan.

To compose such a challenged things.

The way she thinks, none understands.

 

Her hobbies are romantic story writing.

In her plots may be you, her victim.

Her story plans always have sad endings.

                                                                                                Edmonton 2509

บทสัมภาษณ์ของ รูทธ์ ลงในหนังสือดังกล่าว ฉบับวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ 1967 เรื่อง “Novelist from Thailand”

ชีวิตที่เกี่ยวกับเรื่องการเขียนหนังสือ

เริ่มเขียนร้อยกรองตั้งแต่เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาของโรงเรียนราชินี โดยเขียนคำถวายพระพรท่านอาจารย์ของโรงเรียนลงในหนังสือ “ราชินีบำรุง”

ขณะศึกษาคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนเรื่องลงในหนังสือของมหาวิทยาลัย ทั้งร้อยกรองและเรื่องสั้น

ได้รับความสนับสนุนจากนักศึกษารุ่นพี่คุณสมจิตร ศึกษมัติ ส่งเรื่องสั้น “ลูกของพ่อ”ไปลงหนังสือของโรงเรียนสวนกุหลาบ ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ของโรงเรียนเป็นกำลังในการเขียนเรื่องอย่างมาก นอกจากนั้นนักศึกษารุ่นพี่ผู้นี้ ยังพาไปบ้าน”คุณเหม เวชกร” ท่านเป็นนักเขียนมีชื่อและเป็นนักวาดภาพที่นิยมกันในเวลานั้น ท่านได้กรุณาแนะนำถึงวิธีการใช้จินตนาการในการเขียน ท่านสอนให้มองปลาในตู้กระจกที่บ้านท่าน ให้คิดว่าตัวเองเป็นปลา  หรือถ้าว่ายอยู่ในทะเล ดูความสนุกสนาน สดชื่นของมันแล้วให้ถ่ายทอดความรู้สึกนั้นออกมาเป็นตัวอักษร ท่านสอนให้มองป่าที่บ้านท่าน ให้ดูนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องเรียกกัน หรือบางตัวทะเลาะกัน แล้วคิดว่าถ้าเราเป็นนกจะคิดอย่างไร เป็นต้น ข้าพเจ้าก็นำมาคิดและลองจิตของตน ทำให้เข้าใจการใส่ความรู้สึกร่วมนี้เข้าไปในงานเขียนต่างๆ ได้

“ก.สุรางคนางค์” ท่านเป็นนักเรียนโรงเรียนราชินีรุ่นพี่ของข้าพเจ้า ท่านอ่านงานเขียนของข้าพเจ้าในหนังสือของโรงเรียน และได้ผ่านสายตางานเขียนบางเรื่อง ท่านได้สนับสนุนข้าพเจ้าตลอด รวมทั้งคุณนิลวรรณ ปิ่นทอง ท่านก็กรุณานำเรื่องของข้าพเจ้าไปลงหนังสือที่ท่านเป็นบรรณาธิการอยู่หลายเรื่อง

 คุณชลิต พรหมดำรง บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “เพลินจิต” สนับสนุนให้ข้าพเจ้าเขียนนิยาย ส่งไปทีละตอน ทั้งทำงานราชการไปด้วยและเขียนเรื่องยาวส่งไปลงด้วย เรื่องยาวเรื่องแรกที่เขียนส่งคือ  “หัวใจปรารถนา” และเนื่องจากคนอ่านกำลังติด แม้จะเขียนเรื่องให้นางเอกป่วยจวนจะตาย ข้าพเจ้าอยู่ต่างจังหวัดต้องส่งเรื่องมาทีละตอน แต่บรรณาธิการขอร้องว่าจบไม่ได้ จึงต้องไปปรึกษาคุณหมออุดม ลูกศิษย์ที่อยู่จังหวัดนั้น ว่าจะมีวิธีรักษาให้หายอย่างไร ในที่สุดนางเอกก็มีชีวิตอยู่รอดมาได้ทำให้มีเรื่อง“อาณาจักรใจ”ในตอนต่อมา

ในหนังสือ “วันเด็ก”ของกระทรวงศึกษาธิการ ข้าพเจ้าก็ได้รับคำเชิญเป็นนักเขียน เป็นกรรมการตรวจเรื่องละครที่ออกทางวิทยุ-โทรทัศน์ในงานของสำนักวัฒนธรรม  ข้าพเจ้าได้เขียนบทละครแสดงทางวิทยุ-โทรทัศน์หลายเรื่อง  และเขียนเรื่องสำหรับเด็กหลายเรื่องด้วยเช่นกัน

 มีเรื่องหนึ่งที่ได้รับรางวัล”ยูเนสโก” ชื่อ “บ้านรอเรา” เป็นเรื่องที่เสนอแนวคิดเรื่องการสนับสนุนและอบรมคนในหมู่บ้านให้มีการรวบรวมผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีฝืมือทางเครื่องหัตถกรรมทำผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าของหมู่บ้าน ท่านนายกชวน หลีกภัย ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ  ถามความคิดของข้าพเจ้าที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้

ข้าพเจ้าจำได้ว่าได้ตอบท่านไปว่า “ดิฉันอยากให้สิ่งที่เป็นฝีมือเก่า ๆ ของเราออกมาเผยแพร่” และบัดนี้ ข้าพเจ้าภูมิใจว่าความคิดของครูคนหนึ่งนำหน้าความคิดเรื่อง “หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือโอทอป”สมัยนี้มาหลายสิบปีแล้ว

ท่านผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ชมกลอนแปลจากภาษาอังกฤษของข้าพเจ้าเรื่อง “สิทธิมนุษยชน” และท่านอภัย จันทวิมล ชมกาพย์เรื่อง “ราชามูซุน” ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนังสือได้รับรางวัลชมเชยว่าเป็นหนังสือดีเด่นสำหรับเยาวชนจากกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งสองท่านเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้าเขียนร้อยกรองเรื่อยมา

นักวิชาการจากรั้วมหาวิทยาลัย 2 ท่าน คือ “อาจารย์ศรีสุรางค์ พูนทรัพย์” คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทวิจารณ์เรื่องสั้น ”ไม้ชายเลน” ของข้าพเจ้าว่าเป็นแนวเขียนใหม่ที่ไม่มีโครงเรื่องใหญ่ เป็นงานเก็บเล็กผสมน้อยจากการปฏิบัติงานจริงในงานราชการซึ่งนำมาเป็นแง่คิดและให้ความสนุกสนานในอีกมุมหนึ่ง

ส่วนอีกท่านหนึ่ง”อาจารย์เด่นดวง พุ่มสิริ” หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมการละคอนของมหาวิทยาลัยทับแก้ว ได้นำบทละคอนเรื่อง “แว่วเสียงกังสดาล” ใช้นามปากกาว่า ส.กำนัล ออกแสดงทางวิทยุกระจายเสียง เนื่องในการขุดพบ “กังสดาร” อันเป็นโบราณวัตถุได้ ท่านเน้นว่า “ผมชอบมากผมไม่ลืมเลย” นอกจากนั้นข้าพเจ้าก็เขียนบทละคอนให้สำนักวัฒนธรรมหลายเรื่อง

ในงานวิชาการด้านคณิตศาสตร์ของข้าพเจ้า ทางกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการก็ได้พิมพ์ตำราเรียนคณิตศาสตร์ระดับมัธยมปลายเป็นหนังสือเรียนทั่วประเทศ มีอาจารย์คณิตศาสตร์หลายท่านร่วมกันเขียน โดยข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าคณะ ใช้อยู่หลายปีจนกระทั่งมีการปรับหลักสูตรใหม่

ดังนั้น จึงน่าแปลกว่างานหนังสือของข้าพเจ้า ส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวงของการบันเทิงมากกว่างานวิชาการคณิตศาสตร์ในสาขาที่ร่ำเรียนมา ภายหลังจากเกษียณอายุราชการ เมื่อมีประชุมพบปะลูกศิษย์ มักมีผู้ถามถึงกวีนิพนธ์สั้น ๆ จึงได้แต่งเฉพาะรุ่นไปแจกเขาเป็นที่ระลึก

ผลงานเขียนของ สลวย (คุปตาภา) โรจนสโรช เท่าที่รวบรวมได้ขณะนี้ มีดังนี้

1.นวนิยาย 19 เรื่อง  : หัวใจปรารถนา อาณาจักรใจ มุมหนึ่งในดวงจิต รักข้ามขอบฟ้า  เหนือดวงใจ ดาวหลงฟ้า   ฯลฯ

2.บทละคร/บทวิทยุ 5 เรื่อง : แว่วเสียงกังสดาร ใครลิขิตชีวิตนี้ ภาพนี้มีความหลัง   เขาเข้าเวรยามดึก ฯลฯ

3.กลอน 36 บท: ชีวิตบนโลกนี้นิรันดร์ นักเรียนจิ้งหรีด ตำนานเชียงทอง  แม่ยามชรา กรรมตามทัน มาช่วยภาษาไทยกันเถิด ฯลฯ

4.เรื่องสั้น 58 เรื่อง : ใครผิด คำสารภาพของนักโทษประหาร นรชาติ เพื่อมาตุภูมิ   เนื้อนาบุญ เมื่อลมหวล รถด่วนจากยะลา ฯลฯ

5.เรื่องสั้นสำหรับเยาวชน 31 เรื่อง : เพราะพระบารมี บ้าน  เด็กขายขนมกล้วย สิงโตกับมดง่าม  พระสังข์แบ่งปลา  ฯลฯ

6.บทความ/สารคดี/งานแปล 95 เรื่อง: การเขียนเรื่องสั้น มองตน ข้าพเจ้าปั้นโอ่ง ผู้ใหญ่วันหน้า ตำบลนี้ด้อยพัฒนา ฯลฯ

ประวัติการรับราชการ

 2482 -2507 เป็นอาจารย์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการเนื่องจากผู้อำนวยการโรงเรียนต้องการเฉพาะผู้มีวุฒิครูเท่านั้น ต้องสอนครบหนึ่งปี แล้วสอบวิชาชุดครู ป.ป. และวุฒิ ป.ม  ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการประจำ ปี 2485  ได้เป็นหัวหน้าวิชาฝ่ายอาจารย์คณิตศาสตร์ ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคลองอรชร ซึ่งเป็นฝ่ายฝึกหัดครู รวมรับราชการในโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาทั้งสองแห่งเป็นเวลา 25 ปี (พ.ศ 2482-2507)

 พ.ศ 2507-2511 เป็นหัวหน้าหน่วยศึกษานิเทศก์ กองโรงเรียนราษฎร์  และหน่วยศึกษานิเทศก์ กรมสามัญศึกษาทำหน้าที่ฝ่ายโรงเรียนมัธยมแบบประสม

พ.ศ 2512-2518   โอนย้ายไปรับตำแหน่งรองอธิการบดี วิทยาลัยทับแก้ว มหาวิทยาลัยศิลปากร และรักษาการแทนอธิการบดีวิทยาลัยทับแก้ว มหาวิทยาลัยศิลปากร

พ.ศ 2518-2523  จบชีวิตราชการในรั้วมหาวิทยาลัย โดยการลาออก แล้วกลับมารับราชการอีกในกระทรวงศึกษาธิการ ที่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ ทำหน้าที่หัวหน้าวิชาคณิตศาสตร์ ในตำแหน่งผู้ชำนาญการสถาบัน

ช่วงสุดท้ายของชีวิตราชการ เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำโครงการพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน กรมการศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษาธิการ  ในระหว่างปี 2523 จนครบเกษียณอายุราชการ

ยามชรา

พักอยู่บ้านเดียวกับลูกชาย-ลูกสะไภ้ และหลานย่าครอบครัว “คุปตาภา” ซึ่งเป็นบ้านสร้างใหม่ในบริเวณเดียวกันกับครอบครัวลูกสาว อายุ 88 ปี แล้ว  ยังไปร่วมประชุมงานของสมาคมนักเขียนบ้าง ไปพบปะลูกศิษย์เตรียมอุดมรุ่นอพยพอย่างเหนียวแน่น เป็นที่ปรึกษาหนังสือ”ด้วยรัก”จุลสารโครงการราชประชาสมาสัยเฉลิมพระเกียรติ และยังสนุกกับการเขียน-การอ่านหนังสือทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง

  ช่วงสุดท้ายของชีวิต

“คัดจากข้อเขียนของ คุณอี๊ด (คงพร คุปตาภา)ที่ได้เป็นผู้หนึ่งที่อยู่ดูแลใกล้ชิดกับคุณแม่”สลวย (คุปตาภา)โรจนสโรช จากหนังสือแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ ของคุณแม่”

 ระยะหลังแม่จะท้อแท้ หมดกำลังใจ เพราะมีคนพูดเรื่องงานเขียนของแม่ที่ล้าสมัย  แม่ได้เขียนระบายไว้ด้วยลายมือตัวเองบนกระดาษลายเส้น ในสมุดเหลือใช้หัวเรื่องว่า “ชื่อดับ” ดังนี้

“เมื่อสมัยสามสิบปีก่อน ข้าพเจ้าเขียนหนังสือประเภทนวนิยาย เรื่องสั้น และร้อยกรองมาก และยิ่งอยู่ที่กรมการศึกษานอกโรงเรียนยิ่งเขียนมากขึ้น จนค่อยจางหายไป เพราะจดหมาย หรือกำหนดการทำงานไม่ได้รับ จนบางท่านเจ้าของเรื่องโกรธไปก็มี  ปรากฏว่า หลังจากนั้น ถ้ามีการเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ จะมีจดหมายตกค้างมาถึงข้าพเจ้าปึกหนึ่ง พร้อมกับคำบอกเจ้าของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคนใหม่บอกข้าพเจ้าว่า

 “ทำไมเขาไม่ส่งก็ไม่ทราบ เก็บไว้เป็นปึกจนพ้นกำหนด” และบางครั้งเจ้าหน้าที่มากระซิบบอกว่า “อาจารย์เลิกเขียนได้ไม๊ค่ะ พวกหนูไม่มีที่ลง เช่นหนังสือวันเด็ก หนังสือของคุรุสภา ฯลฯ

  “อาจารย์มีชื่อแล้วเขาเกรงใจจะต้องรับของอาจารย์ลงก่อน “ ข้าพเจ้าต้องอ้าปากค้าง ใช้คำว่า “ก็ได้” แล้วเรื่องที่ข้าพเจ้าจะต้องเขียนก็มีคนเขียนแทน

ครั้งสุดท้าย ข้าพเจ้าออกมาจากราชการแล้ว นักศึกษาทบวงมหาวิทยาลัยมีชื่อปีสุดท้ายจะออกรับปริญญาบัตร ได้แสดงความเห็นกับข้าพเจ้าว่า “เรื่องหัวใจปรารถนาของอาจารย์นะสนุก แต่เรื่องอย่างนี้ ภาษาพูดอย่างนี้ ล้าสมัยไปแล้ว มันเรียบร้อยเกินไป และเด็กไม่ชอบ”

แม่ได้เขียนระบายและจบไว้ห้วน ๆ เช่นนี้  นอกจากนั้นยังมีเรื่อง “คำสารภาพของนักเขียน” ซึ่งนิตยสาร “ต่วยตูน” ได้นำข้อเขียนของแม่ไปลงไว้พร้อมวาดรูปของแม่ ลงปกหนังสือ”ต่วยตูน” ฉบับปีที่ ๓๖ เล่ม ๒๒     ก็คงให้ข้อคิดแก่นักเขียนอาวุโสท่านอื่น ๆ ได้มากที่ต้องเข้าใจสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป…

ระยะหลังนี้ แม่ได้มีนักเขียนรุ่นหลาน ชื่อ”คุณดำ” ได้มาให้กำลังใจและเป็นเพื่อนคุย และช่วยประสานงานนำงานเขียนของแม่ทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรองลงในหนังสือต่าง ๆ หลายฉบับ ซึ่งแม่ก็จะดีใจทุกครั้งที่ได้ทราบว่าเรื่องของแม่ยังเป็นที่ยอมรับแก่ทางสำนักพิมพ์…

“คำสารภาพของนักเขียน” และภาพวาดใบหน้าแม่บนหน้าปกนิตยสาร “ต่วยตูน”เป็นภาพและงานเขียนที่ได้ตีพิมพ์ฝาก  ชื่อและผลงานให้แม่ได้ชื่นชมเป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนที่แม่จะหมดลมจากไปอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งปอด  เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๒.๑๐ น.  ณ   สถาบันโรคทรวงอก  ท่ามกลางลูก ๆ ทั้ง ๓ คน และรวมทั้งอี๊ดด้วย!!!